SET เดือน ก.ค. ฟื้นจำกัด มีความเสี่ยง DOWNSIDE

คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตการลงทุน ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

สวัสดีครับท่านนักลงทุน ผ่านไปครึ่งปีแล้ว แต่ตลาดบ้านเรา ยังไม่ไปไหน และหาจุดกลับตัวไม่เจอ โดย SET เดือน มิ.ย. ดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี ปัจจัยกดดันหลักมาจากความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศที่ยังยืดเยื้อและไม่ชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ หลัง Fed (ธนาคารกลางสหรัฐ) ส่งสัญญาณปรับคาดการณ์ลดดอกเบี้ยเหลือเพียงครั้งเดียวในปีนี้ อีกทั้งกระแส Fund Flow ยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยลบเฉพาะตัวในหลายหุ้น

ส่งผลให้ดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี 7 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 โดยลงไปทำจุดต่ำบริเวณ 1,280 จุด ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,300 จุด ในช่วงปลายเดือนด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นตลาดทุน

ทั้งนี้ ในเดือน มิ.ย. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมกระแส Fund Flow เดือนนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ราว 3.5 พันล้านเหรียญ

โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวัน ราว 3.8 และ 1.3 พันล้านเหรียญ ตามลำดับ แต่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ราว 0.9, 0.6 และ 0.1 พันล้านเหรียญ ตามลำดับ

ด้านแนวโน้ม SET ในเดือน ก.ค. การฟื้นตัวยังคงถูกจำกัด แม้ว่าตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. และตลอดทั้งเดือน มิ.ย. ดัชนีจะปรับลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยหนุน และมีความไม่แน่นอนในประเด็นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเมืองในประเทศ หรือมาตรการกระตุ้นการบริโภคอย่างเงินดิจิทัล 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ และแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดว่าจะปรับลงในช่วงไหน

ขณะที่ทิศทาง Fund Flow ยังไหลออก ทำให้มองกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,320 และ 1,335 จุด ตามลำดับ ขณะที่ยังมีความเสี่ยงด้าน Downside โดยมีกรอบล่างอยู่ที่บริเวณแนวรับ 1,280 และ 1,260 ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยหนุน จากการปรับเงื่อนไขกองทุน ThaiESG โดยเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเป็นไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท ลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี โดยให้มีผล 3 ปี ระหว่างปี 2567-2569 ทั้งนี้ จากการศึกษาของฝ่ายวิจัย InnovestX

โดยอิงกองทุน LTF ในอดีตที่มีเงื่อนไขคล้ายกัน พบว่า การเพิ่มขึ้นของ AUM ของกองทุน LTF มีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จนสูงสุดในปี 2020 ช่วง 1 ปีหลังสิ้นสุดโครงการ LTF และในช่วงที่มีกองทุน LTF ด้าน SET Index ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับประมาณ 5-6% ต่อปี (หรือ 70-90 จุด)

อย่างไรก็ตาม บนเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ผลบวกต่อตลาดอาจน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดลดจาก 5 แสนบาท เหลือ 3 แสนบาท และกองทุน TESG มีโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นลดลง

นอกจากนั้น ผู้ลงทุนปัจจุบันมีทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ประเมินผลบวกต่อตลาดเบื้องต้น คาดอยู่ที่ประมาณ 3% หรือประมาณ 40 จุด อย่างไรก็ตาม คาดเม็ดเงินจากกองทุนดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเข้าช่วงปลายปีมากกว่า ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายสำหรับการซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี

ทั้งนี้ SET ยังมีแนวโน้ม Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับต่ำกว่าภูมิภาค ทำให้ด้านกลยุทธ์ลงทุน จึงยังคงแนะนำให้ “Selective Buy” เลือกหุ้นที่มีปัจจัยโดดเด่นเฉพาะ เพื่อสร้างผลตอบแทน ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้

1) หุ้นที่คาดจะได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 2567 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA เลือก HANA TOP BEM MINT OSP BBL SCGP AOT

2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน ThaiESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC CPALL BDMS BBL BEM

และ 3) หุ้น Global Play ที่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน เลือก KCE SCGP TU MINT

…แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : SET เดือน ก.ค. ฟื้นจำกัด มีความเสี่ยง Downside

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.prachachat.net

2024-07-03T01:22:43Z dg43tfdfdgfd